ที่อยู่

 178/57 พุทธมณฑลสาย 2 ซอย 33 แขวง ศาลาธรรมสพน์  

               เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170 

               โทร. 081-420-1638, 087-811-7676

 

กดที่นี่เพื่อดูแผนที่

บัญญัติเอก

ลูกา 10:25-37
 

(25)ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า "พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำสิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร" (26) พระองค์ตรัสถามเขาว่า "ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร" (27) เขาทูลตอบว่า "ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำลัง และสุดสติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" (28) พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านตอบถูกแล้ว จงทำเช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต"
 

อุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี
(29)ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้องจึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า "แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า" (30)พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า "ชายคนหนึ่งกำลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต (31)ปุโรหิตผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง (32)ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่งเช่นเดียวกัน (33)แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร (34)จึงเดินเข้าไปหา เทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา (35)วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้กล่าวว่า "ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา" (36)ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น" (37)เขาทูลตอบว่า "คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา" พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า "ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด"

 

สภาพภูมิประเทศ

หนทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโคขึ้นชื่อลือชาว่าอันตรายที่สุด เยรูซาเล็มอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 700 เมตร ส่วนเยรีโคอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 400 เมตร ทั้งสองเมืองอยู่ห่างจากกันประมาณ 22 กิโลเมตร หมายความว่าเพียงระยะทางจากกรุงเทพฯไปแค่ชานเมือง พื้นที่ก็ลาดชันต่างระดับกันมากกว่า 1 กิโลเมตร
นอกจากลาดชันแล้ว หนทางยังแคบ เต็มไปด้วยเศษหิน และทางเลี้ยวหักมุม เหมาะแก่การซุ่มจู่โจมของพวกโจรเป็นอย่างยิ่ง
ในศตวรรษที่ 5 เยโรมเรียกเส้นทางนี้ว่า "เส้นทางสีแดง" หรือ "เส้นทางสายเลือด" ในศตวรรษที่ 19 นักเดินทางยังต้องจ่ายเงินให้ชาวอาหรับพื้นเมืองเพื่อการคุ้มครองให้เดินทางผ่านถนนสายนี้อย่างปลอดภัย และแม้ล่วงเลยมาจนถึงปี 1930 พวกโจรอาบูจิลดาห์ยังได้ชื่อว่าช่ำชองมากในการทำให้รถของนักเดินทางต้องหยุดและถูกปล้น กว่าตำรวจจะมาถึงพวกเขาก็หนีขึ้นเขาไปหมดแล้ว
ทั้งหมดนี้ แสดงถึงความเหนือชั้นของพระเยซูเจ้าที่สามารถนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงมาประยุกต์ใช้เป็นคำสอน

 

ตัวละคร

1.   คนที่ถูกโจรปล้น บางคนกล่าวว่าชายยิวที่บาดเจ็บคนนี้ อาจจะเป็นคนที่มีนิสัยมุทะลุ บ้าระห่ำ และขาดความยั้งคิดโดยสิ้นเชิง เพราะปกติจะไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางสายนี้ตามลำพังโดยนำของมีค่าติดตัวยไปด้วยส่วนใหญ่ผู้คนจะเดินทางพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่
บางคนอาจจะบอกว่าดีแล้ว ชายยิวที่บาดเจ็บโทษใครไม่ได้ เพราะไม่รู้จักระวังตัวเอง คนประมาท ! แล้วท่านคิดอย่างไรต่อชายยิวที่บาดเจ็บคนนี้ ?

2.   ปุโรหิต (เรียกง่าย ๆก็คือพระนั่นแหละ) รับบทนักธรรมผู้เคร่งครัดศาสนาเดินผ่านไปเฉย ตามบทบัญญัติที่ว่า "ผู้ที่แตะต้องศพของผู้ใดก็ตาม ต้องเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน" (กดว. 19:11,20) ตามหลักการแล้วหากปุโรหิตมีมลทินไม่ว่าจะเป็นเพราะกรณีใด ๆ เขาจะประกอบพิธีกรรมในพระวิหารไม่ได้  นี่จึงอาจจะเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับปุโรหิตที่ไม่ยอมช่วยคนเจ็บคนนี้ แต่สำหรับพระเยซูแล้วปุโรหิตคนนี้สอบตก ทำไมพระเยซูไม่ให้ปุโรหิตเป็นพระเอกของเรื่อง ก็เพราะชีวิตจริงแล้วพวกเขานั่นแหละคือโจรตัวจริง เช่นวันหนึ่งที่ในโบสถ์พระเยซูทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงิน ทรงขับไล่คนที่เอาแพะแกะและนกพิราบมาขายในโบสถ์ พร้อมกับตำหนิพวกเขาอย่างแรงว่า “โบสถ์เป็นที่อธิษฐาน ทำไมมาทำ เป็น “ถ้ำโจร” (มาระโก 11:17) พวกปุโรหิต และพวกอาจารย์ได้ยินเข้าก็โกรธแค้นพระองค์มาก หาทางจะฆ่าพระองค์เสีย

พระเยซูเล่าเรื่องนี้พวกปุโรหิตที่กำลังนั่งฟังอยู่ ต้องคิดในใจว่า ”พูดกระทบฉันอีกล่ะ !” พวกเขาคอยติดตามพระองค์ไม่ใช่อยากเป็นสาวก แต่หวังจะจับผิดพระเยซูให้ได้  เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ในอำนาเจ้าเมือง แล้วก็ประหารพระองค์เสีย !

พวกเขารู้ว่าการประกอบพิธีโดยขาดความรักนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าแน่   เช่นธรรมจารย์คนหนึ่งเห็นว่าผู้นำศาสนากำลังรุมกันถกเถียงพระเยซู เขาก็ร่วมวงถกเถียงด้วย โดยถามว่าบัญญัติเอกคืออะไร พระเยซูก็ตอบเหมือนนักกฏหมายคนนี้ และยิ่งไปกว่านี้เขาได้เสริมว่า

“33. และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสิ้นสุดกำลังและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น” 34. เมื่อพระเยซูทรงเห็นแล้วว่าคนนั้นใช้ความคิด จึงตรัสแก่เขาว่า(ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นไปไม่มีใครอาจถามพระองค์ต่อไปอีก   มก.12:33-34

พระเยซูได้กำชับสาวกว่า“ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน, จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย, เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน, แต่เขาเองหาทำตามไม่.”(มัดธาย 23:3
 

3.   ชายเลวี บางคนบอกว่าชายเลวีคนนี้ไม่กล้าช่วย อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าจะเป็นแผน "นกต่อ" ซึ่งนิยมใช้กันมากในหมู่โจร โดยให้คนหนึ่งแกล้งบาดเจ็บ ถ้ามีใครหลงเชื่อหยุดช่วย พวกโจรที่แอบซุ่มอยู่ก็จะจู่โจมทำร้ายแล้วปล้นทรัพย์สินหลบหนีไป

เลวีเป็นใคร เลวีก็คือชายยิวเผ่าเลวี ซึ่งเป็น 1 ใน 12 เผ่าของคนยิว ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้เต็มเวลาในงานของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับพระวิหารทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนักการของโบสถ์ เป็นผู้นำเพลง นักดนตรี ช่วยจัดเก้าอี้ เฝ้ายาม ฯลฯ    พวกเขามีรายได้จากทศางค์ของอีก 11 เผ่าเป็นการทดแทนที่ไม่ได้รับเขตที่ดิน (กดว. 18:21-24)
เลวีคนนี้น่าจะรับบทคนของพระเจ้าที่ ช่วยเหลือพี่น้องยิว แต่เขาทำหน้าที่แค่เป็นผู้รับใช้ไทยมุง คือเขาเข้าไปมุงดู แล้วอาจจะแค่บอกว่า “กรรมแท้ ๆ”   เสร็จแล้วก็รีบเดินผ่านไปอีกฝากของถนนเช่นกัน

รู้ไหมพระองค์ประณามความหน้าซื่อใจคด ถึงขั้นเรียกคนเช่นนี้ว่า เป็นลูกมาร แทนที่ผู้ฟัง

เหล่านั้นจะสำนึก แต่พวกเขากลับประณามพระองค์ตอบว่า "ท่านเป็นชาวสะมาเรีย และถูกผีสิง" ยอห์ 8 : 48

4.   ชาวสะมาเรียคือใคร ? พวกยิวที่กำลังนั่งล้อมวงฟังพระเยซูเล่าเรื่องนี้อยู่คงคิดในใจว่า มี "ผู้ร้าย" มาแล้วในเรื่อง แล้วเจ้า "คนบาปหนา"สะมาเรีย โผล่เข้ามาในเรื่องทำไม ? มาซ้ำเติมชายยิวที่เจ็บ หรือ?
คนยิวดูหมิ่นเหยียดหยาม ชาวสะมาเรีย มาหลายร้อยปีแล้ว ยิวมักจะใช้คำว่า "สะมาเรีย" พูดถึงคนที่เชื่อผิด ๆ (Heretic) หรือคนที่ไม่ทำตามพระคัมภีร์ คนที่เขาถือว่า บาปหนา ต่ำต้อย
ถ้าพระเยซูมีอคติเหมือนยิวทั้งหลายนะ เรื่องนี้พระองค์ก็น่าจะให้ ชาวสะมาเรียรับบทผู้ร้าย แต่พระองค์กลับให้เขา เป็นพระเอก !
น่าจะเป็นไปได้ว่าพระเอกของเรากับเจ้าของโรงแรมคงจะรู้จักกันดี เพราะปกติชาวยิวและชาวสะมาเรียจะไม่มองหน้ากันเลย    จึงเป็นไปได้ว่าพระเอกเราคงไม่ใช่ ชาวสะมาเรียธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็นพ่อค้า นักธุรกิจ หรือใครซักคนที่ใช้เส้นทางและพักโรงแรมนี้เป็นประจำ เขาจะเป็นใครไม่สำคัญ แต่เขาน่ามีสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
ก)  ความซื่อสัตย์ ทำให้ เจ้าของโรงแรมเชื่อใจเขา

ข)  มีจิตใจพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่น หัวใจแบบนี้น่าย้ำเตือนใจเราว่า พระเจ้าจะตัดสินเราโดยไม่ขึ้นกับว่าเรารู้แค่ไหน แต่พระเจ้าจะตัดสินจากสิ่งที่เราได้กระทำในวันนี้และทุก ๆวันในชีวิตของเรา

 

พระคัมภีร์กับคนยิว


ชายยิวที่เคร่งครัดมีแฟชั่นพิเศษ คือแขวนกล่องหนังเล็ก ๆ 2 กล่อง ไว้ที่ข้อมือซ้าย และที่หน้าผาก ภายในกล่องมีม้วนกระดาษเป็นข้อพระคัมภีร์จาก อพย. 13:1-16; ฉธบ. 6:4-9; 11:13-20
นักกฎหมายตอบพระเยซูว่า ถ้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ "จะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า สุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสุดสติปัญญา"ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของพระคัมภีร์ คนยิวจึงพกข้อความนี้ติดตัวไว้ตลอด (ฉธบ. 6:4 และ 11:13)

เพื่ออยากให้ฟังดูดียิ่งขึ้น นักกฏหมายผู้นี้ได้เสริมข้อความจาก เลวีนิติ 19:18 อีกครึ่ง ที่ว่า "ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง" เข้าไปอีก โดยไม่ใส่ใจครึ่งแรกออกที่สั่งว่า “เจ้าอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานญาติพี่น้องของเจ้า”

คนยิวคิดว่า "เพื่อนมนุษย์" คือใคร ?
สำหรับชาวยิว เพื่อนมนุษย์ก็คือคนยิวด้วยกันเองเท่านั้น ! พวกรับบี อาจารย์สอนศาสนาถึงกับสอนว่า "ห้ามทำคลอดให้หญิงต่างศาสนา (=ต่างชาติ) เพราะเดี๋ยวโลกนี้จะมีคนต่างศาสนาเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง"
สำหรับพระเยซูเจ้า เพื่อนมนุษย์คือใคร ?
1.   คนที่พร้อมช่วยผู้ตกทุกข์ได้ยากทุกคน แม้เขาผู้นั้นจะเป็นผู้ก่อปัญหาขึ้นมาเองเหมือนคนที่ถูกโจรปล้นก็ตาม
2.   คนที่พร้อมช่วยเหลือทุกคนที่ขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด จะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรูก็ตาม
3.   คนที่พร้อมช่วยผู้อื่นอย่าง "เป็นรูปธรรม" เช่นชาวสะมาเรียที่ไม่เพียงรู้สึกสงสาร แต่ยังเดินเข้าไปหาคนที่เป็นศัตรู (ยิวกับชาวสะมาเรียนั้นตอนแรกก็เป็นพี่น้องใน 12 ตระกูล) แต่ต่อมาแทนที่จะเป็นพี่น้อง แต่กลับเป็นศัตรูกัน ไม่กลัวว่าพี่น้องชาวสะมาเรียจะมองเขาว่า สติเสีย ช่วยศัตรู แล้วก็ไล่เขาออกจากสังคม หรือไม่ได้ใส่ใจว่าชาวยิวจะมองหรือคิดต่อเขาอย่างไร เขาเทน้ำมันและเหล้าองุ่นลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำเขาขึ้นหลังสัตว์ของตน เดินพาส่งถึงโรงแรมและเฝ้าไข้เขาทั้งคืน พอวันรุ่งเช้ายังนำเงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้พร้อมกับกำชับว่า "ช่วยดูแลเขาด้วยนะ เงินที่ท่านจะจ่ายเกินเท่าไหร่ ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา"

น่าเศร้าคนที่รู้ธรรมบัญญัติดี แต่ขาดสิ่งสำคัญที่สุด   ซึ่งเขาเพิ่งพูดถึงหยก ๆคือ “รัก”   การ“รู้มาก” “รู้แล้ว” แต่ขาด “รัก” ก็เท่ากับว่าไม่รู้จริง หรือไม่รู้เลย   แท้จริง “ผู้คนไม่สนหรอกว่าเรารู้แค่ไหนจนกระทั่งเขารู้ว่าเราสนเขาแค่ไหน” จงมีน้ำใจที่มีในพระเยซูคริสต์ (ฟป 2.5)

สิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสสั่งนักกฎหมายผู้นั้น พระองค์ตรัสสั่งเราทุกคนเช่นกัน "ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด